เจ้าของธุรกิจหลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่า Conversion (คอนเวอร์ชั่น) เพราะนักการตลาดมักพูดถึงกันบ่อย ๆ แถมยังมีคำที่เกี่ยวข้องมากมาย เช่น Conversion Rate เป็นต้น
แล้วถ้าคุณสงสัย บทความนี่จะอธิบายให้คุณเข้าใจ แถมจะสอนวิธีคำนวณให้คุณด้วย
Conversion คืออะไร
“Conversion” มาจากคำว่า “Convert” ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่ง ซึ่งในบริบทของการตลาด Conversion คือ การกระทำบางอย่าง ที่อาจเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าได้
โดยการกระทำดังกล่าว จะแสดงออกมาหลังเห็นโฆษณาหรือแคมเปญการตลาดแล้ว และเป็นได้หลายแบบ อาทิ
- การซื้อสินค้า
- สมัครสมาชิก
- โทรหา
- กดดาวน์โหลด
- คลิกเข้าเว็บไซต์
- กรอกฟอร์มลงทะเบียน
คอนเวอร์ชั่น มีความสำคัญกับการตลาดอย่างไร?
ความสำคัญของ คอนเวอร์ชั่น คือ ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้ โดยการซื้อสินค้าหรือบริการ จัดเป็นคอนเวอร์ชั่น ที่มีค่าสูงสุดในสายตาของนักการตลาด หรือการทำการตลาดออนไลน์ ( Digital Marketing ) ส่วน Conversion แบบอื่น ๆ แม้จะไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้ทันที แต่ก็สามารถนำไปสู่การซื้อสินค้าหรือบริการได้เช่นกัน
นอกจากนี้ คอนเวอร์ชั่น ยังใช้วัดได้ว่า แคมเปญการตลาดดำเนินไปได้ด้วยดีหรือไม่ หรือมีส่วนที่ต้องปรับปรุง เพื่อให้ Conversion Marketing ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้
Conversion Rate คืออะไร ?
นอกเหนือจาก คอนเวอร์ชั่น แล้ว อีกคำหนึ่งที่หลายคนควรรู้เอาไว้ คือ Conversion Rate ซึ่ง Conversion Rate คือ อัตราส่วนของ Conversion ต่อจำนวนคนทั้งหมดที่เห็นข้อความทางการตลาดหรือโฆษณา
Conversion Rate เป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่เหล่านักการตลาดใช้วัดความสำเร็จของแคมเปญโฆษณา และการคำนวณหา Conversion Rate คิดยังไง นั้น ทำได้ไม่ยาก โดยมีสูตรตามข้างล่างนี้
- Conversion Rate = Conversion ทั้งหมด ÷ ยอดเห็นข้อความทางการตลาด (หรือเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์) x 100
โดยเฉลี่ย Conversion Rate จะอยู่ระหว่าง 1-4% หากคำนวณแล้วพบว่า ต่ำกว่านั้นหรือยังไม่สูงพอ นักการตลาดควรปรับปรุง Conversion (หรือที่เรียกว่า Conversion Rate Optimization) ด้วยวิธีการต่อไปนี้
- ปรับปรุงแบบฟอร์ม หากคุณให้ความสำคัญกับการกรอกฟอร์มในฐานะ Conversion คุณควรตัดส่วนที่ไม่จำเป็นในฟอร์มออก เพื่อช่วยให้คนอยากกรอกฟอร์มมากยิ่งขึ้น
- เพิ่มข้อความรับรอง หรือคำยืนยันว่าสินค้า-บริการนั้นดีจริง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าหรือบริการ และทำให้ผู้บริโภคอยากซื้อสินค้าหรือบริการนั้น ๆ มากขึ้น
- ลดสิ่งดึงดูดความสนใจ หน้า Landing Page หรือ Sale Page ไม่ควรมีองค์ประกอบที่ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคมากจนเกินไป จนส่งผลให้ไม่อยาก ติดต่อจนกลายเป็นลูกค้า
- ทำขั้นตอนให้ง่าย ขั้นตอนที่จุกจิกและซับซ้อนเกินไป ส่งผลให้คนไม่อยากซื้อสินค้า สมัครสมาชิก หรือกดดาวน์โหลดแอป ดังนั้น ฝ่ายการตลาดควรออกแบบขั้นตอนการติดต่อ ให้ง่ายสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- ปรับปรุง CTA ให้มีประสิทธิภาพ CTA ย่อมาจาก Call to Action หมายถึง คำกระตุ้นการตัดสินใจ เช่น ลงทะเบียนเลย ทดลองใช้ฟรี คลิกเลย หรือพูดคุยกับเรา โดยคำเหล่านี้ สามารถทำให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมตามที่ฝ่ายการตลาดคาดหวังไว้ได้
- เพิ่มช่องแชทในหน้าเว็บไซต์ บางครั้ง ความสงสัย-ไม่แน่ใจ อาจทำให้ผู้บริโภคไม่อยากซื้อสินค้าหรือบริการที่ตัวเองสนใจ ดังนั้น จึงควรมีช่องแชทในเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้บริโภคติดต่อกับพนักงาน ซึ่งจะช่วยคลายความสงสัย-ไม่แน่ใจ และทำให้พวกเขาอยากตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการมากขึ้น
- กำหนดเวลานับถอยหลัง ตามหลัก Neuromarketing การกำหนดเวลานับถอยหลัง ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ส่งผลให้พวกเขามีโอกาสเป็นลูกค้าได้มากขึ้น
- เสนอสินค้าเพิ่ม ก่อนผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อสินค้าที่เลือกไว้ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายหรือ Conversion ได้ราว 10%-20%
แล้ว Cost per Conversion คืออะไร?
Cost per Conversion (CPC) เป็นศัพท์เกี่ยวกับคอนเวอร์ชั่น คำสุดท้ายที่อยากพูดถึง โดยคำ ๆ นี้ หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย เพื่อให้ได้มาซึ่ง 1 Conversion สำหรับการหา Cost per Conversion นั้น สามารถทำได้ด้วย นำจำนวนเงินทั้งหมดที่ลงทุนไปกับแคมเปญการตลาด หารด้วย จำนวน Conversion ทั้งหมดที่ได้จากแคมเปญนั้น
โดยสรุปคอนเวอร์ชั่น ก็คือการกระทำที่ฝ่ายธุรกิจคาดหวังให้กลุ่มเป้าหมายทำตาม ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ และสามารถทำให้กลุ่มเป้าหมายกลายเป็นลูกค้าได้
และถ้าคุณอยากให้แคมเปญของคุณได้ลูกค้าเยอะ มี Conversion Rate ที่สูง ก็สามารถจ้าง THE TEPCO ได้ โดยเราให้บริการวางกลยุทธ์ทางการตลาด และออกแบบแคมเปญอย่างมีประสิทธิภาพ