Voice Search (การค้นหาด้วยเสียง) เป็นรูปแบบการหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตซึ่งทั้งไวและสะดวก จึงได้รับความนิยมมาก ๆ ในปัจจุบัน
โดยเว็บไซต์ต่าง ๆ สามารถทำ SEO เพื่อรองรับการค้นหาด้วยเสียงได้ เช่นเดียวกับการค้นหาด้วยข้อความ (Text Search)
และในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักการค้นหาด้วยเสียงอย่างละเอียด พร้อมทั้งแนะนำวิธีการทำ SEO เพื่อรองรับการค้นหาลักษณะนี้
Voice Search คืออะไร
Voice Search คือ การค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตด้วยเสียงพูด แทนการพิมพ์คำค้นหาทางช่องค้นหาตามปกติ
ในการหาข้อมูลแบบนี้ ระบบ Automatic Speech Recognition (ASR) ของแอป จะแปลงเสียงของเราเป็นข้อความ แล้วดำเนินการหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่าง ๆ
ทั้งนี้ เทคโนโลยี การค้นหาข้อมูลด้วยเสียง เริ่มมีตั้งแต่ปี 1952 หรือกว่า 70 ปีแล้ว แต่เพิ่งถูกนำมาใช้กับ Google เมื่อปี 2011
โดยในตอนแรก การค้นหาด้วยเสียง ยังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไร แต่ด้วยก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การค้นหาด้วยเสียงก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับมีคนใช้มากขึ้นตาม
ค้นหาด้วยเสียง เทรนด์เสิร์ชมาแรง ของโลกยุคปัจจุบัน
ค้นหาด้วยเสียง เป็นรูปแบบการหาข้อมูลซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน และมีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้นในอนาคต
รายงานหนึ่งบอกว่า ผู้ใหญ่เกินกว่า 50% บอกว่าตัวเองใช้ฟีเจอร์ ค้นหาด้วยเสียง ทุกวัน
ขณะเดียวกัน Search Engine Land เว็บไซต์เกี่ยวกับ SEO โดยเฉพาะ บอกว่าการเสิร์ชด้วยเสียง ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 รองจากการเสิร์ชผ่านบราวเซอร์ตามปกติ
Voice Search ดีกว่า Text Search ยังไง
Voice Search เป็นการหาข้อมูลที่ทำได้ง่าย และใช้เวลาน้อยกว่า Text Search เนื่องจากคนเราโดยปกติแล้วพูดเร็วกว่าพิมพ์
นอกจากนี้ การเสิร์ชด้วยเสียงสามารถทำได้ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่มือไม่ว่างหรือกำลังขับรถอยู่ จึงตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนปัจจุบัน ซึ่งเร่งรีบและมีเวลาจำกัด จนบางครั้งต้องทำกิจกรรมหลายอย่างไปพร้อม ๆ กัน
ทำไมต้องทำ SEO เพื่อรองรับการค้นหาด้วยเสียง
เช่นเดียวกับการทำ SEO ตามปกติ ทำ SEO สำหรับการค้นหาด้วยเสียง มีเป้าหมายเพื่อทำให้เว็บของคุณเจอได้ง่ายขึ้น เมื่อค้นหาด้วย Keyword หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง
บางคนอาจสงสัยว่า เว็บที่ทำ SEO แบบปกติไปแล้ว ควรทำ SEO เพื่อรองรับ การค้นหาด้วยเสียง ด้วยหรือไม่? ซึ่งถ้าถามเรา เราขอบอกว่า “ควร” เพราะการค้นหาด้วยข้อความ และค้นหาด้วยเสียง มี Keyword โฟกัสไม่เหมือนกัน แถมยังให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน การทำ SEO เพื่อรองรับการค้นหาทั้ง 2 รูปแบบ จึงเป็นเหมือนการทำให้เว็บไซต์เจอได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเสิร์ชด้วยวิธีไหนก็ตาม
วิธีทำ SEO สำหรับ Voice Search ทำยังไง
การทำ SEO เพื่อรองรับการค้นหาด้วยเสียง สามารถทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. เลือกใช้ Keyword ที่เป็นคำถามหรือ Keyword แบบยาว
ข้อแตกต่างสำคัญระหว่าง Text Search และ Voice Search คือ ลักษณะ Keyword
โดยการค้นหาด้วยข้อความมักเสิร์ชด้วยคำหรือข้อความสั้น ๆ อย่าง
- SEO
- SEO คือ
- ทำ SEO
ตรงกันข้าม การค้นหาด้วยเสียงจะเสิร์ชด้วยคีย์เวิร์ดยาว ๆ หรือ Long Tail Keyword รวมถึงคีย์เวิร์ดที่เป็นคำถาม เช่น
- SEO คืออะไร
- รับ ทำ SEO โปรโมท เว็บไซต์
- SEO คือ อะไร และสําคัญต่อการทําธุรกิจออนไลน์อย่างไร
2. ทำ Local SEO
คนส่วนมากนิยมใช้การค้นหาด้วยเสียง เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจท้องถิ่น หรือร้านของกินในระแวกใกล้เคียง
ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจถูกเจอได้ง่ายขึ้น คุณเลยต้องทำ Local SEO ด้วยวิธีการง่าย ๆ เหล่านี้
- ทำ Google My Business หรือ ปักหมุด Google Map
- ใส่ข้อมูล Google Business Profile ให้น่าสนใจ
- เพิ่มรีวิวธุรกิจทาง Google
- แชร์หน้า Google My Business
- เพิ่มที่อยู่ของธุรกิจในเว็บไซต์
3. พัฒนาเว็บไซต์ให้ Mobile Friendly
เพราะคนส่วนใหญ่นิยมเสิร์ชด้วยเสียงผ่านมือถือ การพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับผู้ใช้มือถือ (Mobile Friendly) จึงมีความสำคัญมาก เพราะทั้งสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้ฟีเจอร์การค้นหาด้วยเสียง และยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ Google ใช้พิจารณาอันดับ SEO ของเว็บไซต์ด้วย
นอกจากนี้ การทำ SEO ด้วยวิธีการเหล่านี้ ก็นับการทำ SEO สำหรับ Voice Search เช่นกัน
- ทำ Featured Snippet
- ปรับปรุงเว็บไซต์ให้โหลดเร็วขึ้น
- เพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์หรือ Domain Authority
- สร้าง Awarness ทางโซเชียลมีเดีย เพื่อทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และมีคนอยากหาข้อมูลเพิ่มเติมทาง Google
Voice search เป็นเทรนด์การค้นหาที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ การทำ SEO ให้ตรงกับคำพูดจึงมีความสำคัญ และมีประโยชน์อย่างมากต่อหลาย ๆ ธุรกิจ
THE TEPCO เป็นเอเจนซี่การตลาดออนไลน์ครบวงจร ซึ่งให้บริการ รับทำ SEO รองรับการค้นหาด้วยเสียง โดยผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์
แพ็กเกจ SEO ของเราครอบคลุมตั้งแต่การวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์ ไปจนถึงการหา Keyword การเขียนคอนเทนต์ และการทำ Backlink ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบนหน้าค้นหาของ Google และดึงดูดผู้เข้าชมได้มากขึ้น