โดยทั่วไป หลายคนจะเข้าใจว่า การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ในเชิงเทคนิค Technical SEO เป็นเรื่องของนักพัฒนาเว็บไซต์ หรือผู้เชี่ยวชาญเรื่อง SEO (SEO Specialist) แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์นั้นมีหลายระดับ และในระดับเริ่มต้น ก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปสามารถทำได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ตัวเอง
Technical SEO คืออะไร
Technical SEO คือ เทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เพื่อปรับปรุงการมองเห็นของเครื่องมือค้นหาของ Google สามารถรวบรวมข้อมูล (Crawling) จัดทำบันทึกข้อมูลเว็บไซต์ (Indexing) และการให้บริการ (Serving)ในการให้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Technical SEO ต้องทำอะไรบ้าง
ใครที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง เราขอแนะนำ วิธีทำ Technical SEO ด้วยวิธีการต่อไปนี้ เพราะไม่ยาก มือใหม่ก็สามารถทำได้
1. ส่ง Google Search Console
ปกติแล้ว หลังหน้าเว็บเสร็จสมบูรณ์ คุณต้องเปิด Index และรอสักพักให้ Google ส่ง Bot เข้าสู่เว็บไซต์เพื่อเก็บข้อมูลและจัดอันดับ
โดยกระบวนที่สามารถเร่งให้ไวขึ้นได้ ด้วยการส่งลิงก์เว็บที่เพิ่งอัปเดตใหม่ทาง Google Search Console
ยังไงก็ตาม การส่งลิงก์เว็บใหม่ในลักษณะนี้ จำเป็นต้องลงทะเบียนและยืนยันเว็บไซต์ผ่าน Google Search Console ก่อน
2. เขียนคอนเทนต์ไม่ให้ซ้ำกัน
คอนเทนต์ ในเว็บไซต์ อาจมีส่วนคล้ายหรือเหมือนกับอีกเพจหรืออีกเว็บได้ แต่ถ้าเหมือนกันมากเกินไป หรือเป็นการ Copy กันมา จะเรียกว่าเป็น “Duplicate Content” ทำให้ Google สับสนว่าหน้าเว็บไหนมีเนื้อหาที่ถูกต้องหรือน่าเชื่อถือที่สุด และผลสุดท้ายจะทำให้หน้าเว็บมีอันดับ SEO ที่ต่ำลง หรือไม่ถูกจัดอันดับเลย
และถ้าภายในเว็บไซต์มี Duplicate Content อันดับ SEO ของเว็บก็จะติด ๆ หลุด ๆ ไม่คงที่ เพราะหน้าเว็บที่มีคอนเทนต์เหมือนกัน จะแย่งกันติด SEO ในคีย์เวิร์ดเดียวกัน
สำหรับคนที่อยากรู้ว่าคอนเทนต์ในเว็บตัวเอง ไปเหมือนหน้าเว็บอื่นหรือไม่ สามารถเช็คได้ทาง https://www.duplichecker.com/
3. ปรับปรุงเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับ SEO ของ Google โดย การเพิ่มความเร็วในการโหลด (Page Speed) เป็นสิ่งสำคัญมากในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ ซึ่งเป็นรูปแบบนึงในการทำ Technical SEO
คุณสามารถเช็คได้ว่า เว็บตัวเองโหลดเร็วตามเกณฑ์ของ Google หรือเปล่า ผ่านเว็บ https://pagespeed.web.dev/
และถ้าหากแจ้งเตือนว่าเว็บของคุณโหลดช้าไป วิธีง่ายสุดที่จะทำให้เว็บโหลดไวขึ้น คือการย่อขนาดภาพในเว็บให้เล็กลง และหลีกเลี่ยงการใส่องค์ประกอบหนัก ๆ อย่างไฟล์ภาพขนาดใหญ่ หรืออัปโหลดวิดีโอลงในเว็บไซต์
4. ทำ URL ที่เป็นมิตรต่อการทำ SEO
URL (หรือ ลิงก์ของเว็บไซต์) ที่เป็นมิตรต่อการทำ SEO จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ได้ ทำให้ Google สามารถเข้าใจ และรู้ว่าหน้าเว็บของคุณเกี่ยวข้องกับอะไร มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน และมีโครงสร้างยังไง และยังส่งผลที่ดีกับผู้ใช้งานอีกด้วย
โดยลักษณะของ URL ที่เป็นมิตรต่อ SEO มีดังนี้
- เป็นภาษาอังกฤษที่อ่านรู้เรื่อง เช่น https://thetepco.com/social-listening-tools/
- สั้น กระชับ
- เห็นแล้วอยากกดเข้าไปอ่าน
- มีคีย์เวิร์ดหรือคำสำคัญของหน้านั้น
- ใช้ – คั่นระหว่างคำ เพื่อแยกแต่ละคำออกจากกัน
- ไม่ใส่เดือนหรือวันที่ เพื่อลดความซ้ำซ้อน
5. แก้ไขหน้าลิงก์ที่เสีย
หลายคนอาจไม่รู้ว่า ลิงก์ที่เสีย (Broken Link) ส่งผลต่อคะแนน SEO เป็นอย่างมาก เนื่องจากส่งผลโดยตรงกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์ต่อผู้ใช้งาน ปัญหาแบบนี้ จะทำให้ Bot ส่งสัญญาณแง่ลบไปยัง Google ทำให้อันดับ SEO ของหน้าเว็บแย่ลง
สำหรับใครที่เจอลิงก์เสีย เบื้องต้น สามารถแก้ไขได้ด้วยการลบลิงก์ออกแล้วผูกลิงก์ใหม่ที่ถูกต้อง
ทั้งหมดนี้ ก็คือวิธีทำ Technical SEO สำหรับมือใหม่ ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากหลาย ๆ วิธีที่พวกโปรเขาใช้กัน
หากสงสัยว่า วิธีทำ Technical SEO มีแบบไหนอีกบ้าง เราขอยกมาให้รู้จักเพิ่มประมาณนี้ละกัน
- ใช้ Https (ติดตั้ง SSL) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์
- การส่งโครงสร้างของเว็บไซต์ (XML Sitemap) ให้ Google ส่ง Bot เข้ามาอ่าน
- ส่ง Robots.txt เพื่อให้ Bot สามารถรวบรวมข้อมูลของไซต์ได้อย่างครบถ้วน
- วางโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) ให้ Bot เข้าใจง่าย เหมาะกับการเก็บข้อมูลของ Google (SEO Friendly)
- ออกแบบหน้าเว็บให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งานมือถือ (Mobile Friendly)
และถ้าจ้าง THE TEPCO เราให้บริการ รับทำ SEO ให้เว็บคุณแบบเต็มรูปแบบ ทั้ง Technical SEO, On page SEO, Off page SEO และ Local SEO ซึ่งจะช่วยให้เว็บของคุณติดหน้าแรกโดยใช้เวลาไม่นาน