Headless Commerce (หรือ Headless E-commerce) เป็นคำใหม่ในวงการ E-commerce ที่บ้านเราเริ่มพูดถึงกันบ้างแล้ว
คำ ๆ นี้ หมายถึง การแยกการทำงานระหว่าง หน้าบ้านเว็บไซต์และหลังบ้านเว็บไซต์ หรือ Front-end และ Back-end ของแอปพลิเคชัน E-commerce ออกจากกัน โดยการทำงานแบบนี้ จะช่วยให้แบรนด์มีอิสระมากขึ้นในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม รวมถึงสามารถจัดการข้อมูลการตลาดจากหลายช่องทางได้ง่ายดายมากขึ้น
สำหรับแพลตฟอร์ม E-commerce ที่ทำงานแบบนี้ ก็อย่างเช่นเว็บไซต์ของแบรนด์ Nike, Lancome หรือ Amazon
Headless Commerce ดีกว่าอย่างไร
ต้องเข้าใจก่อนว่า แอปพลิเคชัน E-commerce แบบดั้งเดิม จะมีหน้าบ้านเว็บไซต์และหลังบ้านเว็บไซต์ ที่เชื่อมถึงกัน หรือก็คือ Front-end หรือทุกส่วนที่ผู้ใช้งานเห็น ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับ Back-end หรือหลังบ้านของแอปพลิเคชันเท่านั้น ส่งผลให้มีความยืดหยุ่นในการพัฒนาหรือดัดแปลงที่ต่ำ
การทำงานแยกกันของ Front-end และ Back-end ช่วยให้แอปพลิเคชันมีความยืดหยุ่นสูงกว่าเดิมมาก และยังมีข้อดีหลายข้อ ดังนี้
- แบรนด์ปรับปรุง-แก้ไขแอปได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องกังวลถึงผลกระทบต่อ Back-end ซึ่งเป็นผลดีต่อการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค รวมถึงการกระตุ้นยอดขายและดึงดูดลีดด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ บนแอปพลิเคชัน
- มีเครื่องมือที่ตอบโจทย์การทำงานรูปแบบต่าง ๆ อาทิ Application Programming Interface หรือ APIs ซึ่งช่วยรับประกันว่าประสบการณ์ที่ผู้ใช้งานได้รับจากช่องทางจากต่าง ๆ จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
- หน้าแอปโหลดไวขึ้น ทั้งบนเดสก์ท็อปและสมาร์ทโฟน เนื่องแอปพลิเคชันแบบนี้ ไม่หนักเท่า แอปพลิเคชัน E-commerce แบบดั้งเดิม และความเร็วในการโหลดหน้าแอป ยังช่วยสร้างความประทับใจต่อแบรนด์ให้กับผู้บริโภคด้วย
- ประหยัดแรงงานและเวลาของฝ่าย IT เพราะองค์ประกอบส่วน Front-end แก้ไขได้มากยาก ซ้ำยังทำได้อย่างรวดเร็วโดยฝ่ายเว็บไซต์ ดังนั้น ฝ่าย IT ไม่ต้องเสียแรงหรือเวลาไปกับงานส่วนนี้
- รับมือกับเทรนด์ใหม่ ๆ ในตลาดได้อย่างรวดเร็ว ด้วย Front-end ที่ใช้เวลาไม่นานในการปรับปรุงหรือแก้ไข
- ความผิดในการทำงานต่ำ เนื่องจากระบบต่าง ๆ ของแอปพลิเคชันถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมือนกัน
Headless E-commerce ดีต่อผู้บริโภคอย่างไร?
ข้อดีต่อผู้บริโภค คือประสบการณ์หลาย ๆ ด้านซึ่งแอปพลิเคชัน E-commerce แบบดั้งเดิม ทั้งในแง่ของดีไซน์ ความรวดเร็ว หรือการใช้งานที่ปราศจากข้อติดขัดไม่ว่าผ่านทางเดสก์ท็อปและสมาร์ทโฟน
เหมาะกับทุกแอปพลิเคชัน E-commerce หรือไม่
จากข้อมูลข้างต้น ก็พอเดาได้ว่า “ไม่”
แม้แอปพลิเคชันแบบนี้ จะมีข้อดีหลายข้อ แต่ก็แลกมาด้วยเงินลงทุน เวลา และแรงงานไม่น้อยในการทำ
ดังนั้น ถ้าโครงสร้างแอป E-commerce แบบดั้งเดิมยังคงตอบโจทย์แบรนด์ก็ไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนพัฒนาโครงสร้างแอปใหม่
แล้ว Headless E-Commerce เหมาะกับใคร?”
คำตอบของคำถามนี้ คือแบรนด์ ที่ต้องการสร้างประสบการณ์สุดพิเศษหรือไม่เหมือนใครให้กับผู้บริโภค รวมถึงแบรนด์ที่กำลังประสบปัญหาต่อไปนี้
- แอปพลิเคชันที่มีอยู่อัปเดตเครื่องมือใหม่ ๆ เข้าไปได้ยาก
- สู้คู่แข่งในตลาดเดียวกันไม่ได้ เนื่องจากการแก้ไข Front-end ใช้เวลานาน หรือไม่สามารถจบได้ในทันที
- แอปพลิเคชันช้า และอยากทำให้โหลดเร็วกว่าเดิม
- ไม่สามารถแก้ไขธีมหรือเทมเพลตของแอปพลิเคชัน ให้เป็นไปอย่างที่ต้องการได้
- ยังไม่มีแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน หรือแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนไม่เป็นมิตรกับผู้ใช่อย่างที่ควรจะเป็น
สรุป
Headless E-Commerce เป็นรูปแบบการทำงานของแพลตฟอร์ม ที่เอื้อให้แบรนด์สร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าเดิมให้กับผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มแบบนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกแบรนด์ ดังนั้น การพัฒนาเว็บ-แพลตฟอร์ม E-commerce จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมหรือความจำเป็น