โลโก้ หลากหลาย เลือกใช้อย่างฉลาด 6 รูปแบบโลโก้

โลโก้ (Logo)

เลือกอ่านตามหัวข้อ

โลโก้ หรือ Logo เป็นองค์ประกอบสำคัญของแบรนด์แต่ละแบรนด์  โดย โลโก้แบรนด์ สามารถบอกได้ว่า แบรนด์ ๆ นั้นเกี่ยวกับอะไร ขายสินค้าประเภทไหน หรือทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าหรือบริการของแบรนด์

โดยการเลือกใช้เครื่องหมายการค้า หรือ โลโก้สินค้า จึงเป็นกลยุทธ์การตลาด ที่สำคัญในการสร้างแบรนด์ หรือทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก

และที่คุณจะได้อ่าน คือความรู้เกี่ยวกับ โลโก้ต่าง ๆ รวมถึงเหตุผลที่ควรใช้ ซึ่งรับรองว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อคนที่กำลังปั้นแบรนด์ หรือมีแบรนด์อยู่แล้วแต่อยากให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

6 รูปแบบโลโก้ ต่างๆ แบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร

ถ้าอยากทำ โลโก้สินค้า โลโก้บริษัท หรือมีความคิดจะสร้างแบรนด์ คุณควรเรียนรู้เกี่ยวกับ รูปแบบ โลโก้ต่างๆ , สีโลโก้ รวมถึงเหตุผลที่ควรใช้ ดังนี้

1. โลโก้ ที่เป็นชื่อแบรนด์

อ่านแล้วคงเข้าใจได้ไม่ยาก ว่า Logo ที่เป็น ชื่อแบรนด์ (Wordmark) คือ โลโก้อย่างของ Google, Coca Cola หรือ VISA 

โลโก้แบบนี้ เหมาะกับแบรนด์น้องใหม่ซึ่งต้องการเป็นที่จดจำในท้องตลาด โดยชื่อที่เหมาะจะดัดแปลงเป็นโลโก้แบบนี้ ควรจะสั้น โดดเด่น และจดจำได้ง่าย

ส่วนฟอนต์ของโลโก้ ก็ควรสัมพันธ์กับลักษณะธุรกิจ เช่น ธุรกิจแฟชั่นก็ควรใช้ฟอนต์เรียบ-เก๋ ถ้าเกี่ยวกับกฏหมายก็ควรให้ความรู้สึกมั่นคง-เป็นทางการ

2. โลโก้ ที่เป็นชื่อย่อของแบรนด์

สำหรับ โลโก้ที่เป็น ชื่อย่อของแบรนด์ (Lettermarks) นั้น ที่หลาย ๆ คนนึกออกคงหนีไม่พ้นของ HBO, CP, CNN หรือ NASA

โดยโลโก้แบบนี้ เหมาะกับแบรนด์ซึ่งชื่อยาว จนอาจยากต่อการจดจำหรือการเอาไปออกแบบเป็นโลโก้ด้วยชื่อเต็ม

3. โลโก้ภาพ หรือสัญลักษณ์

โลโก้ภาพหรือสัญลักษณ์ คือ โลโก้ที่ปราศจากตัวอักษร แต่สื่อสารด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ ซึ่งพอเห็นแล้วเราจะนึกถึงแบรนด์ได้ในทันที เช่น โลโก้ผลแอปเปิลของแบรนด์ Apple หรือโลโก้นกสีฟ้าของ Twitter

ข้อควรระวังในการใช้โลโก้แบบนี้ คือภาพหรือสัญลักษณ์ที่เลือกใช้ จะผูกติดกับแบรนด์ไปตลอด ดังนั้น ก่อนใช้โลโก้แบบนี้ จึงควรคิดให้ถี่ถ้วนทั้งในแง่ความหมายและความเหมาะสม นอกจากนี้ โลโก้ภาพหรือสัญลักษณ์ยังไม่เหมาะกับแบรนด์ที่วางแผนจะเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจในอนาคตด้วย

และถ้าคุณเลือกใช้ โลโก้ภาพหรือสัญลักษณ์ ในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับชื่อหรือธุรกิจของแบรนด์ โลโก้ดังกล่าว จะเรียกว่าโลโก้นามธรรม (Abstract Logo Mark) และตัวอย่างเด่น ๆ ของโลโก้แบบนี้ คือโลโก้ของ Pepsi และของ Nike

4. โลโก้ มาสคอต

โลโก้มาสคอต (Mascot Logo) คือเครื่องหมายการค้าซึ่งมีตัวมาสคอตของแบรนด์อยู่ด้วย เช่น โลโก้ของการค้าของ KFC, Pringles หรือ Michelin โดยโลโก้แบบนี้เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการดึงดูดลูกค้ากลุ่มเด็กและครอบครัว 

5. โลโก้แบบผสม 

โลโก้แบบผสม (Combination Mark) หมายถึงโลโก้ซึ่งเกิดจากการผสมระหว่างโลโก้ 2 แบบ เช่น โลโก้ที่เป็นชื่อแบรนด์กับโลโก้ที่เป็นภาพ โดยแบรนด์ดัง ๆ ที่ใช้โลโก้แบบผสมนั้นมีอยู่มากมาย อาทิ Burger King, Doritos, Lacoste

โลโก้แบบผสมมีข้อดีคือทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้ง่าย เพราะมีการใช้ทั้งตัวอักษรและภาพ (หรือสัญลักษณ์) ในโลโก้ นอกจากนี้ โลโก้แบบนี้ยังมีความยืดหยุ่นในการนำไปใช้ คือสามารถแยกใช้แค่ส่วนที่เป็นตัวอักษรหรือภาพก็ได้

6. โลโก้ตราสัญลักษณ์ 

โลโก้ตราสัญลักษณ์ (Emblem Logo) หมายถึงโลโก้อย่างของ Starbucks, Harley Davidson หรือ Porsche ซึ่งทั้งชื่อแบรนด์ (หรือชื่อย่อ) และภาพถูกออกแบบให้อยู่ภายในกรอบรูปทรงต่าง ๆ อย่างวงกลมหรือรูปโล่ โดยเครื่องหมายการค้า แบบนี้จะให้ความรู้สึกวินเทจหรือคลาสสิก

และเนื่องจากทั้งชื่อแบรนด์และภาพถูกออกแบบให้อยู่ด้วยกัน โลโก้ตราสัญลักษณ์จึงไม่สามารถแยกชื่อหรือภาพไปใช้ต่างหากได้ ยิ่งกว่านั้น ด้วยรายละเอียดที่เยอะ การพิมพ์ลงนามบัตรอาจทำให้โลโก้แบบนี้ดูไม่สวยหรืออ่านได้ยาก

โลโก้ เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคจะนึกถึงเมื่อพูดถึงแบรนด์ ๆ หนึ่ง ฉะนั้น ไม่ว่าจะเลือกโลโก้แบบใด เจ้าของแบรนด์ควรคิดให้ดีเสียก่อน

และถ้าคุณกำลังสร้างแบรนด์ หรือมีแบรนด์อยู่แล้วและอยากให้เป็นที่ถูกจดจำมากขึ้น ก็สามารถจ้าง THE TEPCO ที่ออกแบบโลโก้ให้ได้

บทความอื่น ๆ
Tagline (แท็กไลน์) คือ ใช้อธิบายถึงแบรนด์ บอกว่ามีลักษณะยังไง
DA ย่อมาจาก Domain Authority เป็น ตัวเลขที่บอกว่าเว็บเรามี ค่าความน่าเชื่อถือของโดเมน มากน้อยแค่ไหน
Ahrefs โปรแกรมทำ SEO สุดฮิต มี AI เขียนบทความ SEO ได้ด้วย
การตลาดออนไลน์ Digital marketing Thetepco

หากสนใจ
บริการของเรา

การตลาดออนไลน์ เวลาทำการ

เวลาทำการ

จันทร์ – ศุกร์

10:00 น. – 19:00 น.

Copyright © 2023 THE TEPCO Co.,Ltd. All Rights Reserved.

Scroll to Top

ให้ เดอะเท็ปโค่ พาคุณไปสู่เป้าหมายทางธุรกิจ

เราจะทำการตอบกลับให้เร็วที่สุด